September 29, 2013

ชาอู่หลงมะลิ และ ชาเขียวมะลิ การผสมผสานชาจีนกับเอกลักษณ์แบบไทยๆอย่างลงตัว

ชาอู่หลงมะลิ และ ชาเขียวมะลิ จัดเป็นชาแต่งกลิ่นประเภทหนึ่งที่มีกลิ่นหอมมะลิ อันมาจากการอบกลิ่นผสมผสานกับดอกมะลิอบแห้ง 100% จึงได้สรรพคุณทั้งจาก ชาเขียวหรือชาอู่หลง ที่ผสานกับชาดอกมะลิ
อีกทั้งยังได้ความหอมจากชาจีน และความหอมจากมะลิจึงเป็นชาที่มีความหอมมากเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวพิเศษ และยังได้ สรรพคุณจากชา และสรรพคุณดอกมะลิไปพร้อมๆกัน และคนไทยมักจะคุ้นเคยกับชามะลิมากกว่าชาชนิดอื่นๆ

ชาเขียวมะลิ ชาอู่หลงมะลิ 
ชาเขียวมะลิ และ ชาอู่หลงมะลิ เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวต่างชาติ เนื่องเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้านกลิ่นที่หอมแบบไทยๆ เมื่อชงชาออกมาแล้ว น้ำชามีสีเหลืองทองใสอ่อนๆ หอมละมุน รสนุ่มชุ่มคอ
เรียกได้ว่า ชาที่มีความหอมคูณ 2 ที่ได้จาก ชาเขียวหรือชาอู่หลง และชาดอกมะลิ100% ครับ


ชาเขียวมะลิ และ ชาอู่หลงมะลิ มีส่วนช่วยในเรื่อง
+ ลดไขมันและคอเรสเตอรอลในร่างกาย
+ ป้องกันโรคหัวใจ และสารก่อเกิดโรคมะเร็ง
+ ต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้มีการก่อตัวของตะกอนไขมันที่ผนังหลอดเลือด
+ ช่วยชำระสารพิษในร่างกาย
+ ช่วยควบคุมความดันในเส้นเลือด
+ กลิ่นที่หอมช่วยผ่อนคลายจากภาวะความเครียดได้เป็นอย่างดี

Read more…

September 17, 2013

เรื่องน่ารู้ของ ชาสมุนไพร หญ้าหนวดแมว (Cat's whisker Herbals) เกี่ยวกับการรักษาโรคนิ่ว โรคไต

นานมาแล้วที่โรงพยาบาลแผนปัจจุบันในต่างประเทศ รู้จักนำหญ้าหนวดแมวมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคไตควบคู่กับโรคหัวใจได้ ฝรั่งจึงได้ตั้งชื่อหญ้าหนวดแมวว่า ชาสำหรับโรคไต
 
ความจริง หมอแผนไทยและจีนรู้จักใช้หญ้าหนวดแมว รักษาโรคไตมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2528 โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์วีระสิงห์ เมืองมั่น แห่งภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ค้นคว้าวิจัยนำหญ้าหนวดแมวมาใช้รักษาผู้ป่วยในโรคนิ่วในระบบทางเดิน ปัสสาวะ เช่น นิ่วในท่อไต และนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุของการปัสสาวะขัด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย

การจากทดลองพบว่าหญ้าหนวดแมว มี “เกลือโปแตสเซียม” เป็นสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ขับปัสสาวะและช่วยขยายหลอดไตให้กว้างขึ้น สามารถลดอาการปวดของท่อไต ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วขนาดเท่าเม็ดมะละกอหรือเม็ดถั่วเขียว ชาสมุนไพรตัวนี้จะช่วยขับก้อนนิ่วออกมาได้สบายมากหลังจากดื่มเพียง 3-5 วัน นิ่วก็สามารถหลุดได้แล้ว  

ชาสมุนไพรหญ้าหนวดแมว สามารถรักษาโรคนิ่วได้ทั้งนิ่วจากแคลเซียมและนิ่วจากกรดยูริก เนื่องจากสรรพคุณหญ้าหนวดแมว จะขับกรดยูริกอันเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ หญ้าหนวดแมวจึงทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ซึ่งรักษานิ่วจากกรดยูริกซึ่งเป็นนิ่วได้ดีกว่าเพราะชนิดนี้สามารถ สลายได้ดีในด่าง

สมุนไพรหญ้าหนวดแมว

ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็มีรายงานการค้นคว้าวิจัยอ้างอิงเกี่ยวกับ สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ไว้หลายเรื่องเช่นกัน อาทิ
 
1. นพ.พิชัย ตั้งสิน และ ภญ.ปริศนา แสงเจษฎา ได้ศึกษาฤทธิ์ของยาชงหญ้าหนวดแมว ในผู้ป่วยในทางเดินปัสสาวะส่วนบน เทียบกับไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต โดยแบ่งกลุ่มผู้ป่วย 9 คน พบว่ากลุ่มที่ ได้รับยาหญ้าหนวดแมวมีการเคลื่อนตัวของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ (นิ่วชนิดทึบแสงในทางเดินปัสสาวะ เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 ซม.) และใช้ยาแก้ปวดไม่ต่างจากกลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน ยาชงนี้มีผลทำให้ความดันโลหิตลดลงเล็กน้อย ชีพจรเต้นเร็วในระยะแรก(วันที่ 3) ไม่มีผลต่อปริมาณโปตัสเซียมในเลือด ไม่ทำให้คุณภาพน้ำปัสสาวะเปลี่ยนแปลง


2. รศ.นพ.วีรสิงห์ เมืองมั่น ภาควิชาศัลยกรรม คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาในผู้ป่วยนิ่วในท่อไต ขนาดเท่าเม็ดมะละกอ หรือประมาณ 0.5 ซม. จำนวน 23 คน ดื่มยาชงหญ้าหนวดแมว ขนาด 4 กรัม ในน้ำเดือด 750 ซีซี ต่อวัน เป็นเวลา 2-6 เดือน พบว่า 9 คน (40 %) มีนิ่วหลุดออกมา (ส่วนใหญ่ที่นิ่วหลุดจะหลุดภายใน 3 เดือน) 13 คน (60 %) หายปวด แต่นิ่วไม่หลุด


3. รศ.นพ.อมร เปรมกมล ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำการศึกษาผลของหญ้าหนวดแมวในการลดขนาดของนิ่วไต เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ใช้ยา Na-K-Citrate โดยผู้ป่วยนิ่วที่เข้าร่วมจำนวน 48 คนมีนิ่วในไตขนาดตั้งแต่ 9 มม.ขึ้นไป     
โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ดื่มน้ำชง
ชาสมุนไพร
หญ้า หนวดแมว 2.5 กรัม เช้า - เย็น ส่วนกลุ่มที่สอง ได้ยา Na-K-Citrate วันละ 3 ครั้ง (6-10 กรัม) ใช้เวลาในการทดลอง 18 เดือน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่ม 1 และ กลุ่ม 2 สามารถลดขนาดนิ่วได้ร้อยละ 28.6 สรุปคือ หญ้าหนวดแมวมีคุณสมบัติในการลดขนาดนิ่วได้ต่ำกว่าการใช้ยา Na-K-Citrate เล็กน้อย แต่ไม่พบผลข้างเคียงและราคาถูกกว่า
       

ข้อควรระวัง : ระวังการใช้ชาสมุนไพร หญ้าหนวดแมวในผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไต เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีโปแตสเซียมสูง
ข้อเสนอแนะ : หากดื่มชาสมุนไพรหญ้าหนวดแมว ในช่วงเย็นแล้วทำให้ ปัสสาวะบ่อยเกินไปในเวลากลางคืน สามารถเปลี่ยนเวลาดื่มชามาเป็นตอนกลางวันได้

Credit : จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย เก้า มกรา

Read more…

September 08, 2013

น้ำที่ใช้ในการชงชา น้ำแบบไหนจะชงชาออกมาได้รสชาติดีที่สุด ??

หนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชงชาคือน้ำ น้ำที่เหมาะสำหรับชงชาแน่นอนว่าใครๆก็ต้องบอกว่าน้ำแร่ธรรมชาติ แต่ทราบหรือไม่ว่าน้ำแร่ธรรมชาตินั้นยัง แบ่งเป็น 2 ชนิดอีกด้วยคือน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้าง และน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อน

น้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้าง คือน้ำแร่ที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียมในน้ำสูง
น้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อน คือน้ำแร่ที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียมในน้ำน้อยกว่า

ส่วนมากน้ำแร่ นำเข้าจากต่างประเทศจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้าง น้ำแร่ในบ้านเราส่วนมากจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อน

แล้วน้ำแร่ธรรมชาติ แบบไหนชงชาได้รสชาติดีกว่ากัน ??
คำตอบคือ ชงชาได้รสชาติดีเหมือนกัน แต่รสชาติ กลิ่น สีจะแตกต่างกัน

 
ชาที่ชงด้วยน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้างนั้น รสชาติและกลิ่นหอมจะอ่อนๆ สีน้ำชาจางๆนิดหน่อย
ส่วนน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อนนั้น จะสกัดน้ำชาได้สีน้ำชาที่เข้ม รสชาติเข้มกลมกล่อมกว่า

น้ำชา การชงชา
แต่เดี๋ยวก่อน.. เรามองข้ามน้ำประปาไปได้ยังไง..!!
น้ำประปา เพียงแค่กำจัดสารคลอรีนในน้ำออก ก็สามารถนำมาชงชาได้ทั้ง รสชาติชา กลิ่นหอมชา และสีน้ำชาได้ดี ไม่แพ้น้ำแร่ราคาแพงๆได้เช่นกัน แต่ต้องผ่านขั้นตอนนิดหน่อย เพียงแค่นำน้ำประปามาต้มปิดฝาทิ้งไว้ให้เดือด แล้วเปิดฝาหม้อต้มต่อไปอีก ประมาณ 3-5 นาที เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำคุณภาพดีเหมาะสำหรับการชงชาแล้ว

ทั้งนี้การใส่ใจกับคุณภาพน้ำก็ยังสู้ไม่ได้กับการเลือกสรรใบชาที่มีคุณภาพดีซักหน่อย การใช้ชาคุณภาพสูง หรือใบชาเกรดA อาจเรียกได้ว่าเป็นทางลัดไปสู่ความอร่อยของน้ำชาได้
อีกทั้งการชงชายังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิน้ำ ปริมาณใบชาที่ใช้ ระยะเวลาที่สกัดน้ำชา และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆอีกเช่น กาชงชา แก้วชงชา ป้านชาที่ใช้ชงอีก

เดี๋ยวคราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงเรื่องอุณหภูมิของน้ำ และเวลาที่ใช้ในการชงชาแต่ละประเภทกัน รอติดตามกันตอนต่อไปนะครับผม
ขอบคุณครับ
กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่
www.chiangmaitea.com
www.chiangmaiteashop.com


Read more…

September 03, 2013

สมุนไพรมะรุม พืชสมุนไพรมหัศจรรย์ คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารสูง

สมุนไพรมะรุม (MoringaLeaves Capsule)
พืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด รู้หรือไม่ว่า..?

ใบมะรุม มีโปรตีนสูงกว่านมสดถึง 2 เท่า
วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

สมุนไพรใบมะรุมสรรพคุณ_moringaleaves


ข้อมูลทางโภชนาการ ของมะรุมต่อ ใบมะรุม 100 กรัม

พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)


ประโยชน์ของ สมุนไพรมะรุม
1. ใช้รักษาโรคขาดอาหาร ในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
5. ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ จากผลการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6. ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น
หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11 .เป็นยาปฏิชีวนะ
12. ชะลอความแก่ ต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย
13. ฆ่าจุลินทรีย์ ที่เกิดในกระเพาะอาหาร จึงป้องกันโรคกระเพาะอาหารได้
14. การป้องกันมะเร็ง มะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
15.ฤทธิ์ลดไขมันและคลอเรสเตอรอล ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุม แล้วกินอาหารไขมันสูง จะมีปริมาณคลอเรสเตอรอล ในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากการทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
16. ฤทธิ์ป้องกันตับ มีผลช่วยในการพักฟื้นของอาการถูกทำลายของตับ


*** คำเตือน : ผู้ที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน เป็นอย่างยิ่ง ***
<<  โรคเลือด G6PD เป็นอย่างไร ลองอ่านดูครับ >>

Read more…

Popular Posts