ผลไม้ชนิดนี้ถูกนำมาวิจัยอย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา พบว่ามันมีคุณสมบัติการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ทุกชนิด มีฤทธิ์ในการต่อต้านไวรัสและเซลล์มะเร็ง อีกทั้งในมหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ ได้มีการทดลองนำสารสกัดจากทุเรียนเทศมาเทียบกับ ยาเคมีบำบัด(ยาฆ่ามะเร็ง) ผลปรากฏว่ามันฤทธิ์มากกว่า 10,000 เท่า ในการช่วยลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังนำมาทำเป็นชาชงดื่มแก้อาการเครียด ช่วยลดอาการเจ็บปวดและลดการเกร็ง มีการนำมาใช้เกี่ยวกับข้ออักเสบและผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ
และ ซึ่งมีผลการรับรองจากแล็บมากมายว่าผลไม้ทุเรียนเทศ ชนิดนี้สามารถช่วยในการฆ่าเซลส์ มะเร็งกว่า 12 ชนิดซึ่งรวมถึง มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกมาก มะเร็งปอด และมะเร็งตับอ่อน ผลจากการรับประทานทุเรียนเทศ หรือการนำใบมาต้มเป็นชาแล้วรับประทาน จะช่วยในการฆ่าเซลส์มะเร็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากและยังไม่ทำร้ายเซลส์ดีในร่างกาย
ผล การวิจัยแสดง ให้เห็นว่าผลไม้มหัศจรรย์นี้จะช่วยสู้เซลส์มะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดการวิงเวียน หรือเกิดอาการผมร่วงเหมือนกับการทำคีโม
สถาบันผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นความสามารถของสารสกัดจากทุเรียนน้ำ ดังนี้
1. โจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาเพราะเป็นผลผลิตตาม ธรรมชาติทั้งหมด ไม่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง สูญเสียน้ำหนักและเส้นผมหลุดร่วง เหมือนการทำเคมีบำบัด
2. ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อร้ายแรง
3. รู้สึกถึงความแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น ตลอดช่วงเวลาของการรักษา
4. เพิ่มพลังงานชีวิตและปรับปรุงสภาพร่างกายภายนอกของคนไข้
สรรพคุณทางยาของ ทุเรียนเทศ
ผลสุก รับประทานแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
ผลดิบ รับประทานแก้โรคบิด
เมล็ด ใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้เบื่อปลาและฆ่าแมลง
ใบ นำมาขยี้ผสมกับปูนใช้ทาบริเวณท้องแก้ท้องอืด ใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้ไอ ปวดตามข้อ
ข้อมูลโภชนาการของ ทุเรียนเทศต่อ 100 กรัม พบว่ามีสารอาหารดังนี้
น้ำ 83.2 กรัม
ให้พลังงาน 59 กิโลแคลลอรี
ไขมัน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรท 15.1 กรัม
เส้นใย 0.6 กรัม
โปรตีน 1.0 กรัม
แคลเซียม 14 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.08 มิลลิกรัม
วิตามินซี 24 มิลลิกรัม
ข้อแนะนำในการทาน ทุเรียนเทศ สำหรับเพื่อรักษาและ ป้องกันโรคมะเร็ง
การกินใบทุเรียนเทศ ให้ใช้ใบหรือผลของลูกทุเรียนเทศตามธรรมชาติ ในรูปแบบสดหรือแห้งก็ได้ มาชงเป็นชาดื่ม
โดยมีวิธีในการชงชา ทุเรียนเทศ ดังนี้
1. นำ ใบทุเรียนเทศ หรือ ผลทุเรียนเทศ อบแห้ง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 100g. ต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร
2. นำ ใบทุเรียนเทศ หรือ ผลทุเรียนเทศ อบแห้ง ไปต้มกับน้ำจนเดือด เมื่อน้ำเดือดแล้วลดไฟให้อ่อนลง แล้วเคี่ยวต่อไปอีก 20 นาที
3. กรองใบหรือผลทุเรียนเทศออก สามารถใช้ดื่ม 3 ถ้วย (500-750ml.) ต่อวัน และควรดื่ม 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร
4. โดยให้ดื่มน้ำชา แบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย หากดื่มติดต่อกันมานานเกิน 30 วันแล้ว แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนสัก 1 สัปดาห์จึงค่อยดื่มชาต่อ
ข้อควรระวัง ในการรับประทาน ทุเรียนเทศ
1. มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่า ในผล เมล็ด และราก ของทุเรียนน้ำ มีสารอัลคาลอยด์ และมีสารแอนโนนาซิน (Annonacin) ซึ่งมีผลความเชื่อมโยงสูงต่อการเกิดโรคพาร์คินสัน (โรคความเสื่อมของเซลล์สองและระบบประสาท) ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทุเรียนเทศมากจนเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันทุกวัน
2. จากการทดลองพบว่า สารสำคัญในทุเรียนเทศนั้นจะไม่สามารถสกัดหรือสังเคราะห์ออกมาได้ ดังนั้นหากต้องการได้รับสารดังกล่าว จะต้องบริโภคแบบธรรมชาติเท่านั้น ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากทุเรียนน้ำที่ผ่านกระบวนการต่างๆ มาแล้ว เช่น. รูปแบบของน้ำผลไม้กระป๋อง, ยาอัดเม็ด, แคปซูล เพราะการผ่านกระบวนการในการผลิตเหล่านั้นอาจทำให้ประสิทธิภาพของทุเรียนน้ำ ลดลงได้
สำหรับทุเรียนเทศ สุดยอดสมุนไพรพิฆาตมะเร็ง อีกหนึ่งทางเลือกจากธรรมชาติ ที่นอกจากจะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังสามารถนำได้ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคอื่น ๆ รวมทั้งบำรุงร่างกายได้สารพัด
แต่ก็ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่าการรับประทานทุเรียนน้ำให้ได้ผลจริง ๆ นั้น ควรทานจากผลิตภัณฑ์ทุเรียนเทศจากธรรมชาติเท่านั้น เพราะ การทานทุเรียนเทศ หรือทุเรียนน้ำ ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆนั้น นอกจากจะบันทอน สรรพคุณของทุเรียนน้ำแล้ว เราอาจจะอาจจะไม่ได้คุณประโยชน์จากทุเรียนเทศ เท่าที่ควรจะได้รับอีกด้วยคะ
กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่
www.ChiangmaiTeaShop.com
Line ID: chiangmaitea , Tel. 086-922-7100
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
(ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
(ข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
(ข้อมูลจาก : gotoknow.org)
(ข้อมูลจาก : http://cancer.vg/en/annona-muricata-soursop)
ใช่ครับผมก็ลองดูหลายๆคนหายนะ
ReplyDelete