December 27, 2013

ผงชาในซอง ชาพร้อมชง สามารถทานพร้อมน้ำชาได้หรือไม่

ผงชาในซองชาพร้อมชง สามารถทานพร้อมน้ำชาได้หรือไม่

 รับบรรจุชาพร้อมชง
คำตอบคือ ชาที่มีลักษณะเป็นซองชา หรือ ชาพร้อมชง เป็นชาที่นำมาบดผงแล้ว บรรจุชาในซองชาเยื่อกระดาษ แนะนำไม่ฉีกออกมาผสมกับน้ำครับ เพราะตัวซองทำหน้าที่เป็นที่กรองชาไปในตัวครับ
 

เมื่อเปรียบเทียบกับการชงชาแบบใบชา [Loose tea] ขั้นตอนสุดท้ายก็ต้องกรองใบชาออก ก่อนดื่มเช่นกันครับ แบบพร้อมชงทำให้เราสะดวกขึ้นมากกว่าครับผม ปกติการชงชา ส่วนมากมักมีเศษใบชาหลงเหลืออยู่ในถ้วยชาบ้าง หรืออาจจะไม่มีบ้าง หากมีปริมาณน้อยๆอาจทานได้ครับ (เพราะยังไงก็คือพืชสมุนไพรหรือใบชาธรรมชาติอยู่แล้วครับ) แต่ก็ไม่ควรทานใบชาที่บดมาแล้วเป็นปริมาณมากๆครับ

ชาที่จะทานพร้อมกันกับน้ำชาได้มีไม่กี่ชนิด อย่างที่ทาน น้ำชาพร้อมกับใบชาได้เห็นจะเป็น "ชาเขียวมัทฉะ" ครับผม เนื่องจากเป็นใบชาสด และชามัทฉะก็ได้ถูกกำหนดมา เพื่อให้ทานได้ทั้งใบชาอยู่แล้วครับผม (ได้คุณค่าสารอาหารด้วย)
 

แต่หากเป็นชาที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตมามากๆ เช่น ชาดำ ชาแดง หรือ ชาอู่หลง จะเป็นใบชาอบแห้งและผ่านการหมักมาแล้ว เราจึงไม่ควรดื่มใบชาประเภทนี้ไปด้วยเท่านั้นเองครับ และอีกข้อที่น่าสนใจคือ น้ำชาไม่ควรทิ้งหรือแช่ใบชา ไว้ในน้ำชาครับ จะเป็นผลเสียมากกว่าเป็นผลดีครับ อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่ควรฉีกซองชาให้ผงชาเหล่านี้ลงไปแช่ในน้ำชาครับผม

ขอบคุณครับผม
กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่

Read more…

December 22, 2013

เครื่องปั้นดินเผาศิลาดล สุดยอดงานฝีมือ คุณค่าแห่งภูมิปัญญาด้านหัตถศิลป์ไทย

ในปัจจุบันเครื่องปั้นดินเผาศิลาดลเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งบ้างก็เรียกว่า เครื่องเคลือบศิลาดล หรือเครื่องเคลือบดินเผาศิลาดล นิยมปั้นเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เช่น จาน ชาม ช้อน แก้วชา กาชา ชุดชงชา หรือ อุปกรณ์ชงชาต่างๆ 

โดยมากเน้นการนำมาใช้ประโยชน์เช่น การชงชา ภาชนะใส่อาหาร หรือแม้แต่การวางเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน เทคนิคการปั้นศิลาดลจึงเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่นับเป็นภูมิปัญญาไทย ที่ทรงคุณค่าทั้งด้านความสวยงามและด้านหัตถศิลป์ 

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาโบราณที่ชื่อ “ศิลาดล” ซึ่งเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้ความร้อนสูง เคลือบด้วยขี้เถ้าไม้ผสมดินดำหน้านา ซึ่งจะทำให้ได้เคลือบที่เป็นสีเขียวใสเหมือนหยก และยังมีการแตกลายงาตามธรรมชาติที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ ศิลาดลมีที่มาจากเมืองซินเจียงของประเทศจีน โดยได้ขยายเข้ามาสู่สุโขทัยและอยุธยา ซึ่งรู้จักกันในนาม “เครื่องสังคโลก” 


เครื่องปั้นดินเผาศิลาดล

เครื่องเคลือบศิลาดล ยังได้ขยายเข้ามาสู่ทางภาคเหนือของไทย ผ่านทางการค้าขายกับพ่อค้าชาวจีนในช่วงสมัยราชวงศ์มังราย โดยเชียงใหม่ได้เข้าสู่จุดเฟื่องฟูของการผลิตศิลาดลจนกระทั่งถึงยุคที่พ่ายแพ้สงครามแก่พม่า ช่างฝีมือถูกกวาดต้อนไปพม่าจนหมด ทำให้การผลิตเครื่องดินเผาศิลาดลหยุดชะงักไป 

ต่อมามีชาวไทยใหญ่ อพยพย้ายจากรัฐฉานเข้ามาตั้งรกรากในทางภาคเหนือของไทย และเริ่มต้นตั้งเตาเผาผลิตศิลาดล และถ่ายทอดวิชาให้บุตรหลานจนกระทั่งมีการทำสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าศิลาดลโดยทั่วไปจะเป็นสีเขียว แต่ช่างปั้นชาวเหนือของไทย ยังได้พยายามผลิตเคลือบสีอื่น ๆ ขึ้นมาเพิ่มเติม ได้แก่ สีน้ำตาล สีทอง สีน้ำเงิน สีเทา สีขาว สีแดงเลือดหมูและสีเหลือง

Cr: กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่

Read more…

December 06, 2013

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ 5 อย่าง ที่ช่วยบำรุงและป้องกันโรคตับ

หลายคนคิด ว่าการการดื่มเหล้าทำให้เป็นโรคตับแข็ง ที่จริงแล้วโรคตับยังสามารถเกิดจากพฤติกรรมการอุปโภคบริโภค หรือสารเจือปนในอากาศและอาหารได้อีกด้วย จึงทำให้คนส่วนใหญ่กำลังสะสมสารพิษในตับมากมายโดยไม่รู้ตัว โรคตับ นับเป็นโรคติดอันดับต้น ๆ กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าคนไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับสูงที่ สุดในโลก (ชาย = 36.9 ต่อประชากร 100,000 คนและหญิง = 15.2 ต่อประชากร 100,000 คน) โดยแต่ละวันมีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยถึง 30 รายทั่วประเทศ ทั้งยังมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ
โรคตับ_สมุนไพร_ต้านโรคตับ_กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่

อาหารและสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ต่อไปนี้เราเลือกมา 5 ชนิด ที่จะสามารถช่วยบำรุงป้องกันโรคตับ และช่วยเคลียร์การสะสมโรคภัยในตับ

อาหารอย่างแรกคือ ซุปรวมเห็ดล้างไขมันในตับ เห็ดช่วยล้างสารพิษ เช่นเห็ดหอม เห็ดหลินจือ ฯลฯ เห็ดจะช่วยลดไขมันที่สะสมอยู่ในตับและกระแสเลือด ต่อต้านการก่อตัวของมะเร็ง ลดอนุมูลอิสระ การเกิดซีสต์ ถุงน้ำ เนื้องอก ช่วยสลายเยื่อพังผืดในช่องท้อง อุ้งเชิงกราน มดลูก ทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว การกินเพื่อล้างพิษตับ ควรกินตั้งแต่สามชนิดร่วมกัน โดยนำมาแช่น้ำให้นิ่ม หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วต้มกับมะตูมแห้ง ใบเตย หรืออาจนำไปต้มกับสาหร่ายทะเล ทานแทนซุปร่วมกับอาหารในแต่ละมื้อ

2.
ขมิ้นชัน สรรพคุณขับพิษสะสมในตับ คุณสมบัติของขมิ้นชัน จะช่วยบำรุง-ฟื้นฟู และล้างสารพิษออกจากตับได้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการกินในลักษณะ ขมิ้นชันแคปซูลบรรจุผงสกัด ในเวลาก่อนนอน ปริมาณ 5,000-8,000 มิลลิกรัมต่อวัน

3.
มะขามป้อม แอนตี้ไวรัสตับ มะขามป้อมอุดมไปด้วยวิตามินซีมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 160 เท่า และแม้จะถูกทำให้แห้งเป็นมะขามป้อมอบแห้ง หรือแช่เย็นเป็นเวลานานๆเท่าใด วิตามินซีก็จะยังคงอยู่ เพราะมะขามป้อมมีสารแทนนิน และโพลีฟีนอลที่ช่วยป้องกันการออกซิไดซ์ของวิตามินซี ประโยชน์ของมะขามป้อมจะช่วยรักษาอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันการเกิดพิษโลหะหนัก และยับยั้งการเกิดมะเร็งตับได้ การทานมะขามป้อมนั้นก็ง่ายๆ โดยนำมะขามป้อมสดมาคั้นดื่ม หรือใช้มะขามป้อมอบแห้งเพื่อชงเป็นชาดื่มได้

4.
เก๋ากี้ปกป้องตับยกระดับความแข็งแรง ในเก๋ากี้ จะมีเบต้าแคโรทีน กรดกำมะถัน เอมีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินอี และวิตามินบี 2 ซึ่งมีส่วนในการเสริมภูมิต้านทานโรค เพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ ช่วยให้ตับทำงานดีขึ้น วิธีการทานง่ายๆเพียงชงเก๋ากี๋แบบชาแล้วดื่มแทนน้ำทั้งวัน หรืออาจเป็นส่วนประกอบการทำเมนูอาหารได้ เช่น ตุ๋นกระดูกซี่โครงหมู ต้มฟัก ฯลฯ

5.
กะหล่ำปลีพืชผักสวนครัวใกล้ตัว ที่สามารถช่วยเพิ่มสารกลูตาไทโอน ที่ล้างพิษจากควันไอเสียและยา ซึ่งส่งผลทำให้ตับพิการได้ และในกะหล่ำปลียังมีสารอินโดลฟลาโวนอยด์ คาร์บินอล ซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก ช่วยต้านการก่อตัวของมะเร็ง บำรุงไต ชะล้างสารพิษ ทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบจากแผลในสำไส้ การทานกะหล่ำปลีนอกจากนำไปทำอาหารแล้ว ยังสามารถนำมามิกซ์ผสมเป็นค็อกเทลสูตรสุขภาพโดยการคั้นผสมกับสับปะรด แครอทเข้าด้วยกันบีบมะนาวเพิ่มลงไปได้เมนูเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพต้านภับโรค ตับได้แล้ว

จะเห็นว่าอาหารเหล่านี้แท้จริงแล้วก็เป็นของใกล้ตัวเรานี่แหละครับ หากมีโอกาสอย่าลืมรับประทานอาหาร หรือสมุนไพรเพื่อสุขภาพ เหล่านี้ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บกันบ้างนะครับผม ขอให้สุขภาพดีทุกท่านครับ
 
ขอบคุณครับ
กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่

Read more…

November 18, 2013

ดอกอัญชัน เครื่องดื่มสมุนไพร บำรุงสายตาและสมอง

ดอกอัญชัน (Butterfly pea) มีสรรพคุณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมีสารที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin)
มีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีมากขึ้น เช่น ไปเลี้ยงบริเวณรากผม ซึ่งช่วยทำให้ผมดกดำ เงางาม หรือไปเลี้ยงบริเวณดวงตาจึงช่วยบำรุงสายตาไปด้วยในตัว หรือไปเลี้ยงบริเวณปลายนิ้วมือ ซึ่งก็จะช่วยแก้อาการเหน็บชาได้ด้วย และที่สำคัญสารนี้ยังมีความโดดเด่นที่ใครหลายๆคนยังไม่ทราบนั้นก็คือ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้ จึงมีผลช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบได้อีกด้วย

สาร แอนโทรไซยานิน นี้จะพบมากในผัก ผลไม้ และดอกไม้ ที่มีสีน้ำเงิน สีแดง หรือสีม่วง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ โดยที่พืชจะสร้างสารนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันดอกหรือผลตัวเองจากอันตรายของแสง แดดหรือโรคภัย เราจึงใช้ประโยชน์ หรือสรรพคุณในจุดนี้ของดอกอัญชัน เพื่อให้มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเราได้อีกด้วย
น้ำสมุนไพร ดอกอัญชัน
น้ำสมุนไพร ดอกอัญชัน
วิธีทำน้ำ ดอกอัญชัน
1. นำน้ำเปล่าใส่หม้อ ประมาณ 1.5 ลิตร ตั้งไฟให้เดือดก่อน
2. นำดอกอัญขันอบแห้ง ประมาณ 5 กรัม ใส่ลงไปในหม้อ (เนื่องจากเป็นดอกอัญชันอบแห้งจึงใช้ปริมาณที่ไม่มากเหมือนดอกอัญชันสด)
3. ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที
4. ตักหรือกรองดอกอัญชันที่ต้มแล้วออก เพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้น้ำดอกอัญชัน


ใส่แก้ว ใส่น้ำแข็ง นำไปเสริฟ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสีน้ำเงินคราม
น่ารับประทาน อาจใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มรสชาติได้ อาจบีบมะนาวลงไปในน้ำสมุนไพรดอกอัญชันด้วย น้ำมะนาวจะทำให้สีของน้ำอัญชันเปลี่ยนเป็นสีม่วงสวยงาม เนื่องด้วยเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี ธรรมชาติ ทำให้น่าดื่มยิ่งขึ้น เพิ่มคุณค่าและเป็นสีสันในการดื่มน้ำสมุนไพรดอกอัญชันได้เป็นอย่างดี

เกร็ดน่ารู้ : น้ำดอกอัญชันไม่ค่อยมีกลิ่นหอมมากครับ หากต้องการเพิ่มกลิ่นที่หอมขึ้น ส่วนมากจะนิยมต้มใส่กับใบเตยอบแห้งครับ
เกร็ดน่ารู้ : ดอกออัญชันอบแห้ง 1 กิโลกรัม จะเท่ากับ ดอกอัญชันสด 10 กิโลกรัมเลยทีเดียว

Cr : http://www.chiangmaiteashop.com/shop-chiangmaitea-interest-8142.html

Read more…

November 04, 2013

วิธีการเก็บรักษาชาดอกไม้ และ เทคนิคการชงชาดอกไม้ ให้อร่อยทำอย่างไร

เคล็ดลับในการเก็บรักษาชาดอกไม้ และ เทคนิคการชงชาดอกไม้
เคล็ดลับ การเก็บรักษาชาดอกไม้
1. เก็บชาดอกไม้ ไว้ในโหลทึบ หรือที่มิดชิด กระบอกเก็บชาแบบที่มียางปิดสุญญากาศ ที่ปิดมิดชิด
2. เลี่ยงการวางชาไว้ใกล้แสงสว่างหรือที่ๆมีความชื้นสูง จะเก็บชาไว้ได้นานหลายเดือน
3. หากมีตัวกันชื้น (ซิลิก้าเจล) สามารถใส่ตัวกันชื้นที่บรรจุซองแล้วลงไปในโหลชาได้ ระวังกันชื้นต้องบรรจุในถุงมิดชิดต้องไม่โดนตัวชาดอกไม้เด็ดขาด
4. ใช้น้ำกรองหรือน้ำแร่ในการชงชา ส่วนน้ำจากก๊อกจะมีความเป็นด่างเกินไปและขัดขวางพลังของสารอาหารธรรมชาติในดอกไม้
5. หากใช้น้ำประปาควรต้มน้ำให้เดือดไปก่อน 1รอบแล้วทิ้งไว้ซักพัก เพื่อขจัดคลอรีนในน้ำ แต่เวลาจะชงชาก็ต้มน้ำซ้ำก่อนนำมาชงชานะครับ
6. การชงชาดอกไม้ อาจต้องมีอุปกรณ์ กรองชา หรือถุงชา เพื่อความสะดวกในการดื่มชา
7. ยกกาสูงๆเวลาเทน้ำร้อนเพื่อให้ออกซิเจนหมุนเวียนในน้ำ เพิ่มมรสชาติชาได้เป็นอย่างดี และ แช่ชาดอกไม้ไว้ได้นานสุดไม่ควรเกิน 3-5 นาที


เคล็ดลับ วิธีชงชาดอกไม้
1. ควรลวกภาชนะ กาชาหรือแก้วชา ที่ใช้ชงชาด้วยน้ำร้อนทิ้งไปก่อน 1 รอบ
2. ใส่ชาดอกไม้ 5-10 g. หรือ 1/3 ของภาชนะชงชา ลวกชาด้วยน้ำร้อนแบบเร็วๆ ทิ้งไปก่อน 1 รอบ
3. เทน้ำร้อนลงไปในภาชนะชงชา หรือประมาณ 200-250 ml. (น้ำควรมีอุณหภูมิ 80-100 องศา)
4. สกัดชาทิ้งไว้ประมาณ 1-3 นาที ไม่ควรเกิน 3นาที กรองชาดอกไม้ออก สามารถพร้อมดื่มได้เลย

การเก็บรักษาชา การชงชาดอกไม้

Tips : ชาดอกไม้ สามารถชงซ้ำได้ 2-3 ครั้งหรือจนกว่ารสชาติจะเจือจางลงไป
Tips : ชาดอกไม้ สามารถนำไปชงผสมกับชาจีนอื่นๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการดื่มชาได้
Tips : ชาดอกไม้ สามารถเติมน้ำผึ้งหรือมะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติได้ สามารถทานได้ทั้งแบบร้อน-เย็น ครับ
Tips : ชาดอกไม้ เป็นชาที่มีกลิ่นหอมและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และเป็นชาประเภทสมุนไพร จึงสามารถดื่มได้ตลอดเวลาโดยไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย

* การลวกชาด้วยน้ำร้อนทิ้งในน้ำแรก เพื่อเป็นการล้างฝุ่นตะกอนชาตามธรรมชาติ และยังเป็นการกระตุ้นชาให้มีกลิ่นหอมยิ่งขึ้นอีกด้วย *
* สามารถชงผสมพร้อมกับชาจีนหรือสมุนไพรต่างๆได้ เช่น ชาเขียว ชาอู่หลง ชาใบหม่อน และสามารถปรุงรสชาติโดยการเติมน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มรสชาติได้ตามความต้องการ *

CR: http://www.chiangmaiteashop.com/shop-chiangmaitea-interest-8113.html

Read more…

November 02, 2013

6 อันดับ อาหารมื้อเช้าใกล้ตัวที่มีประโยชน์ เมนูไหนล่ะที่คุณชอบ และทานเป็นประจำ ?

6 อันดับอาหารเช้าจานโปรด เมนูไหนเปี่ยมประโยชน์มากที่สุด
เป็น ที่ทราบกันดีว่า มื้อเช้า ถือเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด จะสดใสร่าเริง สมองแล่นทั้งวันหรือไม่ ก็อยู่ที่มื้อเช้านี่แหละ เมื่ออาหารเช้าสำคัญขนาดนี้ มาสำรวจกันหน่อยดีมั้ย ว่าอาหารจานโปรดที่คุณๆ ทานกันทุกเช้านั้น เมนูใดเปี่ยมประโยชน์ เมนูไหนสมควรเลี่ยง !

เรา รวบรวมอาหารเช้าที่คุณคุ้นเคย 6 เมนู ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Ani-Aging) นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ฟันธงว่าแท้จริงแล้ว เมนูอาหารเช้ายอดฮิตอย่าง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋, โจ๊กหมู, ข้าวเหนียว หมูปิ้ง, ต้มเลือดหมู, ขนมปัง ไข่ดาว และขนมครกนั้น แท้จริงแล้วมีประโยชน์เพียงใด เหมาะจะนำมาเป็นมื้อสำคัญยามรุ่งอรุณแค่ไหน
“การ ทานอาหารเช้าที่ดี คือ ให้กินอย่างราชา แต่จะต้องมีหลักนิดนึงคือ ถ้าเรากินอย่างราชาแต่หนักแป้งก็ไม่ดี เพราะมันจะทำให้เราหิวเร็ว
brekfast
ดังนั้นกฎข้อแรกของการกินอาหารเช้าคือ พยายามทานแป้งกับน้ำตาลให้น้อยที่สุด เพราะแป้งและน้ำตาลดูดซึมได้เร็ว เมื่อไหร่ที่ดูดซึมเร็ว อินซูลิน (Insulin) จะมาควบคุมไม่ให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง เมื่ออินซูลินมากดนานเข้า ก็จะทำให้น้ำตาลเราต่ำ เมื่อน้ำตาลต่ำ เราก็จะหิวเร็ว ดังนั้นย้ำนะครับ ว่าอาหารเช้าไม่ควรขาดเลย แต่ควรจะงดแป้งและน้ำตาล

กฎข้อที่สอง คือ อาหารเช้ามื้อนั้นๆ ไม่ควรจะรสจัดเกินไป เพราะในตอนเช้ายังไม่มีน้ำย่อยเยอะ และกระเพาะอาหารยังไม่ขยับเต็มที่ หากเราทานอาหารที่มีความมัน หรือเผ็ดเกินไป มันจะทำให้เกิดข้อเสียมากกว่า ดังนั้นในมื้อเช้าจึงไม่ควรจะทานอาหารที่มันและเผ็ดเกินไป” คุณหมอกฤษดา อธิบายถึงหลักการรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ดีต่อสุขภาพ

หลังบอกถึง หลักการทานอาหารเช้าที่เหมาะสมแล้ว เรามาดูกันเลยค่ะว่า อาหารเช้าที่หลายท่านนิยมชมชอบ ด้วยเพราะคุ้นเคยดี แถมซื้อหาได้ง่าย (เพราะขายอยู่พรึ่บทุกปากซอย) แท้จริงแล้ว แต่ละเมนูมีประโยชน์แค่ไหน เหมาะจะเป็นมื้อเช้าที่ดีของคุณๆ หรือไม่ และคุณหมอท่านฟันธงมาว่าเมนูไหนเยี่ยมสุด


อันดับ 1 ต้มเลือดหมู
เมนู อันดับหนึ่ง คุณหมอผู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ยกนิ้วให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพสุดๆ ทว่าจะให้ทานแล้วดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง...ก็ต้องมีเทคนิคในการทาน “ต้ม เลือดหมูเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็น perfect combination หรือเป็นคู่ที่สมกันมากเลย เพราะในเลือดหมูมีธาตุเหล็ก และในผัก เช่น ใบตำลึง จะมีวิตามินซีเยอะ ธาตุเหล็กต้องมีวิตามินซี มันถึงจะดูดซึมได้ดี เช่นเดียวกับที่วิตามินซี ก็ต้องมีธาตุเหล็กมันถึงจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ฉะนั้นมันเป็นคู่ที่เพอร์เฟคเลย
แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากใครเป็นเก๊าท์ ต้องระวังหน่อย เพราะน้ำซุปต้มเลือดหมูทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริค (Uric Acid) เยอะ ส่วนเครื่องในก็มีกรดยูริคสูงเหมือนกัน อันนี้อาจต้องระวังสักนิด นอกจากนี้คนอีกกลุ่มที่ต้องระวัง คือ คนที่เป็นธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เพราะคนที่เป็นธาลัสซีเมีย ไม่ควรกินธาตุเหล็กเยอะ แต่ต้มเลือดหมู มีทั้งเลือดหมู, เครื่องใน, ใบตำลึง เหล่านี้มีธาตุเหล็กทั้งนั้นเลย แต่ถ้าในคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นธาลัสซีเมีย ต้มเลือดหมูคือต้มที่ดี เป็นต้มที่เปี่ยม คอลลาเจน (Collagen) เพราะในเลือดหมูมีคอลลาเจน ในน้ำต้มกระดูกก็มีคอลลาเจน ทั้งยังมีผักเขียวที่มีวิตามินซี ก็ยิ่งทำให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีอีกด้วย
ดัง นั้นต้มเลือดหมู ถือว่าเป็นซุปสวยได้เลย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง ผมว่าดีกว่าปาท่องโก๋จิ้มนมนะ แต่มันจะกลายเป็นอาหารที่ไม่สุขภาพไปได้ เช่น หากเราใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ ใส่หมูติดมัน หรือบางเจ้าใส่หมูสามชั้น หรือหมูกรอบเข้าไป แล้วปรุงให้รสจัดเกินไป หรือหวานไป”

อันดับ 2 ขนมปัง + ไข่ดาว
สำหรับ อับดับสองเป็นเมนูอาหารเช้าทำง่าย...ทานง่าย อย่าง ขนมปัง-ไข่ดาว ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ยกให้เป็นอาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะนักสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน และน้องๆ วัยเรียน จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท (whole wheat) และไข่ดาวน้ำ หรือไข่ต้ม (ที่ไร้น้ำมัน) นะคะ
“ใน ช่วงเช้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ที่ต้องไปทำงาน หรือเด็กในวัยเรียน การเพิ่มอาหารจำพวกโปรตีนเข้าไปก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะโปรตีนจะกระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้นการทานอาหารที่มีโปรตีนอย่าง ไข่ ก็เป็นอาหารเช้าที่ดีมาก ราคาไม่แพง และมีโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นสมองด้วย สำหรับไข่ทอดอาจจะมีปัญหาเรื่องของน้ำมัน ดังนั้นหากทานเป็นไข่ต้มได้ก็ยิ่งดี โดยอาจทานไข่ต้ม, ไข่ลวก, ไข่ดาวน้ำ โรยซีอิ้วขาว โรยพริกไทยก็ยิ่งดี เพราะพริกไทยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และลดไขมันได้ด้วย หรือไข่ต้มอย่างเดียวอาจไม่อิ่ม


การทานคู่กับขนมปังโฮลวีท ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะขนมปังโฮลวีท เป็นแป้งที่มีคุณภาพ คือ แป้งมีกาก มีธัญพืชทั้งหลาย โดยอาจนำขนมปังขนมปังโฮลวีท มาทำเป็นแซนวิช (sandwich) ไข่ เพิ่มผักอีกสักหน่อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ทานกับนมอีกนิดเพอร์เฟค (perfect) เลย เพราะนมก็มีโปรตีน และกรดอะมิโน (Amino acid) ที่ช่วยกระตุ้นสมอง ถ้าผู้ใหญ่บางท่านแพ้นมวัว ทานแล้วท้องเสีย ก็สามารถทานโยเกิร์ต (Yoghurt) แทนได้ เพราะโยเกิร์ตคือ นมที่ย่อยแล้ว และไม่ทำให้ห้องเสีย ถือว่าเป็นอาหารชูกำลัง แทนที่เราจะกระตุ้นด้วยกาแฟ เรากระตุ้นด้วยอาหารชูกำลังอย่าง นม หรือโยเกิร์ตดีกว่า”

อันดับ 3 ขนมครก + กาแฟ
“ขนม ครกนั้น จะมีปัญหาตรงที่มันมีแป้ง ถ้าเจ้าไหนใส่แป้งเยอะ ก็ไม่ต่างจากปาท่องโก๋เท่าไหร่ ดีกว่านิดหน่อยตรงที่มันใช้การปิ้ง เป็นการทำให้สุกด้วยความร้อนแทนการทอด แต่ข้อดีของมันคือ มีกะทิ ซึ่งกะทิเป็นไขมันดี เป็นกลุ่มของไขมัน มีเดียม-เชน ไตรกลีเซอไรด์ (Medium-chain triglycerides) เป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี ก็เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกาย ซึ่งเรามักเข้าใจว่ากะทิก่อให้เกิดอันตราย แต่จริงๆ แล้ว กะทิถือเป็นของดีเลย อันนี้เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งและในมะพร้าวก็ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงผิวด้วย และส่วนใหญ่แล้ว หน้าของขนมครก ก็จะเป็นหน้าเพื่อสุขภาพ คือโรยด้วยเผือก, ต้นหอม, ข้าวโพด, ก็จะมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอ ต้องอาศัยไขมันจากกะทิ ในการดูดซึมดังนั้นก็เข้ากันพอดี


ยิ่งทานขนมครกกับชา หรือกาแฟ ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะในกาแฟจะมีคาเฟอีน (Caffeine) เยอะ ซึ่งถ้าเราได้ อาหารอย่างขนมครกเข้าไปรองท้องก็จะดี เพราะร่างกายจะได้ไม่ต้องดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมันอาจจะมากเกินไปสำหรับร่างกาย ดังนั้นขนมครกก็ไม่ถึงกับเป็นอาหารเช้าที่เลวร้ายนัก แต่ก็ต้องระวังไว้นิด เพราะบางเจ้าอาจมีการใส่น้ำตาลเยอะ รสหวานเกินไป อันนี้ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินไปเหมือนกัน”

อันดับ 4 โจ๊กหมู
“ตัว โจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล
ส่วนประโยชน์นั้น หากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำให้เราได้วิตามินอี (Vitamin E) และ แกมมา ออริซานอล (Gamma-Orizanal) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา (Gaba) ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น
ข้อควรระวังคือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะ นั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์ และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอล (Cholesterol) มากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป ”

อันดับ 5 ข้าวเหนียว+ หมูปิ้ง
เมนู อับดับห้านี้ คุณหมอเตือนมานิดว่า แม้จะอร่อย ทานง่าย แถมพกพาสะดวก ทว่าก็ต้องระมัดระวังเลือกร้านที่ไว้ใจได้ และเลี่ยงทานส่วนที่ “มัน”
ใน เรื่องของพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร เราอาจได้รับแคลอรี่ (Calorie) เยอะอยู่ แต่ถ้าเทียบกับโจ๊กแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เป็นตัวที่สลับกันทานกับโจ๊กได้ เพราะอย่างน้อยในข้าวเหนียว ก็จะมีกลูเตน (Gluten) หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัด จะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งได้ทานหมูปิ้งกับข้าวเหนียวดำ มันก็จะมี โอพีซี (OPC) สารสีม่วงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในข้าวเหนียวดำด้วย
ส่วนหมู ปิ้งมีเทคนิคการทานคือ ให้เลือกหมูปิ้งในส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย เพราะ เมื่อไหร่ไขมัน ไปสัมผัสกับความร้อน มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ดังนั้นให้เลือกมันน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมันที่แทรกอยู่ในเนื้อหมู หรือมันที่ติดอยู่โคนไม้เหล่านี้ก็ต้องเลี่ยง นอกจากนี้เรื่องถ่านที่ปิ้งหมู ก็ต้องระวังเรื่องของสารปนเปื้อนที่มาจากถ่านที่ไม่ได้คุณภาพด้วย เพราะพวกนี้อาจจะมียาฆ่าแมลงที่ติดมากับไม้ที่นำมาทำเป็นถ่าน หรือหากเขาใช้ไม้เฟอร์นิเจอร์ (Furniture) มาทำเป็นถ่านก็ยิ่งต้องระวัง เพราะไม้พวกนี้เขามีการพ่นปลวก พ่นสารเคมีเอาไว้ อาจจะทำให้เราได้รับสารเคมีได้”

อันดับ 6 น้ำเต้าหู้ + ปาท่องโก๋
สำหรับ เมนูสุดท้ายอย่าง น้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋นี้ คุณหมอหนุ่มระบุว่า ปาท่องโก๋นั้น ถือเป็นอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้คุณอ้วนได้ง่าย เพราะทานแล้วหิวเร็ว ส่วนน้ำเต้าหู้นั้น ถือเป็น “อาหารล้างบาป” ให้กับปาท่องโก๋ที่คุณทานเข้าไป
“ปาท่องโก๋เนี้ย ตัวทำให้อ้วนเลยครับ ถ้าคนเราทานปาท่องโก๋ วันละ 1 คู่ ทุกวัน ภายในเวลา 1 ปี น้ำหนักจะขึ้นเป็นกิโลกรัมเลย เพราะปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้ง แต่น้ำเต้าหู้ เป็นตัวล้างบาปที่ดี นี่คือภูมิปัญญาของคนไทย เพราะน้ำเต้าหู้ มันมีสารอาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพ ทั้งโปรตีน (Protein), แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant), เปปไทด์ (Peptide) หรือถ้ายิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ใส่ธัญพืช ก็จะมีไฟเบอร์ (Fiber) ที่ช่วยไล่ไขมันในปาท่องโก๋ได้
อีก สิ่งที่ต้องระวังจากตัวปาท่องโก๋คือ มันอาจจะมีสารตัวหนึ่งที่ก่อมะเร็งได้ นั่นคือกลุ่มของอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ตัวนี้จะเกิดในพวกของทอด อาหารที่ต้องทอดด้วยน้ำมันชุ่มๆ และอาหารทอดซ้ำ ดังนั้นถ้าเราจะทานปาท่องโก๋ ก็ต้องพยายามเว้นวันบ้าง อย่าทานทุกวัน หรือถ้าจะทานปาท่องโก๋เมื่อไหร่ ควรจะทานน้ำเต้าหู้ที่มีธัญพืชเยอะๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำเต้าหู้ใส่ถั่วแดง, เม็ดแมงลัก, ข้าวบาร์เล่ย์ (Barley) ใส่ธัญพืชเหล่านี้เข้าไปสักหน่อย มันจะได้ช่วยไม่ให้แป้งในปาท่องโก๋ ดูดซึมเร็วเกินไป จนทำให้หิวง่าย
ส่วน ผู้ที่นิยมทานปาท่องโก๋จิ้มนมข้น อันนั้นเรียกว่า คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) จิ้มคาร์โบไฮเดรต หรืออ้วนจิ้มอ้วนเลย เพราะ นมข้นหวานทำจากหางนม แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล, น้ำเชื่อม เพราะฉะนั้นถ้าทานปาท่องโก๋ กับนมข้น ข้อเสียคือ ทำให้เราติดหวาน หากมื้อเช้ามื้อนั้นเราทานปาท่องโก๋ จิ้มนมข้น มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกมีความสุข เพราะได้น้ำตาล แต่มันจะทำให้หิวเร็ว” คุณหมอกฤษดา อธิบายปิดท้ายเมนูสุดท้ายแบบครบถ้วนกระบวนความ

รู้อย่างนี้แล้ว ท่านผู้อ่านเล็งๆเมนูไหนกันไว้บ้างคะ
Cr : ที่มา : เว็บไซต์ thaihealth.or.th

ผู้ลงบทความ : กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่
http://www.chiangmaiteashop.com

Read more…

October 22, 2013

สมุนไพรคืออะไร มาทำความรู้จักพืชธรรมชาติในแง่มุมที่คุณเองอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน

สมุนไพร คือ ของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับมวลมนุษยชาติ มนุษย์เรารู้จักใช้สมุนไพรในด้านการบำบัดรักษาโรค นับแต่ยุค "นีแอนเดอร์ทัล" (Neanderthal) หรือเมื่อราว 250,000 ปีมาแล้ว !!
คำว่า "สมุนไพร" ตามพระราชบัญญัติหมายความถึง ยาที่ได้จากพืช สัตว์ และแร่ ซึ่งยังมิได้มีการผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังคงเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใดๆ เช่น การหั่น การบด การกลั่น การสกัดแยก รวมทั้งการผสมกับสารอื่นๆ

แต่ ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กลง บดให้เป็นผง อัดให้เป็นแท่ง หรือปอกเปลือกออก เป็นต้น เมื่อพูดถึงสมุนไพร คนทั่วๆ ไปมักจะนึกถึงเฉพาะพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ในทางยา ทั้งนี้เพราะสมุนไพรที่ได้จาก สัตว์และแร่มีการใช้น้อย และจะใช้เฉพาะในโรคบางชนิดเท่านั้น

หากจะสืบสาวถึงความเป็นมาของเครื่องดื่มสมุนไพร ก็มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล มีน้ำชนิดหนึ่งเรียกว่า “อัชบาล” หรือ "น้ำปานะ" ซึ่งพระสงฆ์สามารถฉันน้ำชนิดนี้ได้ตลอดทั้งวันแทนการขบเคี้ยวอาหารหลังมื้อเพลตามบัญญัติของพุทธศาสนา น้ำปานะนี้ใช้สมุนไพร หรือ พืชผลชนิดที่มีความเผ็ดร้อน เช่น ขิง ข่า กระทือ ตะไคร้ เป็นต้น ต้มในน้ำร้อนและผสมน้ำตาลทรายแดงให้พอมีรสปะแล่มๆ  ซึ่งต่อมานิยมดื่มกันแพร่หลายมาถึงฆราวาสด้วย
ประโยชน์ของสมุนไพร คืออะไร


ประโยชน์ของสมุนไพร คือ
          1. ใช้เป็นยาบำบัดรักษาโรค
          2. ใช้เป็นอาหาร
          3. ใช้เป็นเครื่องสำอางค์
          4. ใช้เป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกาย
          5. ใช้ขับสารพิษ
          6. ใช้เป็นเครื่องดื่ม
          7. ช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ


ประวัติการใช้สมุนไพร ในประเทศไทย
ประเทศ ไทยมีภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญงอกงามของพืชนานาชนิด โดยเฉพาะพืชสมุนไพรมีอยู่มากมายเป็นแสนๆ ชนิด ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและจากการเพาะปลูก บางชนิดก็ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาแผนปัจจุบัน สมุนไพรหลายชนิด ถูกนำมาใช้ในรูปของยากลางบ้าน ยาแผนโบราณ รากฐานของวิชาสมุนไพรไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียเป็นส่วนใหญ่


ชีวิต ความเป็นอยู่ของคนไทยนั้น สิ่งหนึ่งที่แสดงออกมาได้เป็นอย่างดีก็คือ ศิลปะที่ผสมผสานและผูกพันอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยนั่นเอง ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือการทำอาหารและเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวมี การผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับศิปะการทำอาหารไว้อย่างลงตัวถือว่าเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของชาติได้เป็นอย่างดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เครื่องดื่มสมุนไพรของไทยนั้นจะแฝงไว้ด้วย เจตนารมณ์ให้ผู้ดื่มได้ซึมซับทั้งรสชาติและคุณประโยชน์ไปพร้อมๆ  กันอย่างชาญฉลาดนั้นเอง


กันต์โตะ ชาสมุนไพร ชาดอกไม้ เชียงใหม่
www.chiangmaitea.com
www.chiangmaiteashop.com

Read more…

October 16, 2013

ชาที่นิยมใช้ในธุรกิจร้านกาแฟ (Coffee Shop)

ชาที่มีลักษณะชนิดผงสำหรับร้านกาแฟ (Coffee Shop) ที่นิยมใช้กันจะมีอยู่หลากหลายชนิด

ชาที่นิยมใช้ในธุรกิจร้านกาแฟ (Coffee Shop) - กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่

ชาอู่หลง - ชาเขียว (ชาจีน) สีน้ำชาเหลืองอำพัน ชงจิบเป็นชาเพื่อสุขภาพ สามารถชงผสมกับ ชาสมุนไพร หรือชาดอกไม้ต่างๆได้
ชาดอกไม้ ให้กลิ่นหอมละมุน บางที่ก็เลือกที่จะใช้ชาแต่งรส แต่งกลิ่น เช่น ชาเขียวมะลิ ชาพีช ชาดาร์จีลิ่ง ชาเอิร์ลเกรย์ ฯลฯ
(ซึ่งชาประเภทนี้อาจจะอยู่ในลักษณะถุงชา (Teabags) หรือแบบใบชา (Loose Tea) ก็ได้
บางที่เสริฟคู่กับกาแฟ ไว้ดื่มตบท้ายกาแฟตามภาษาที่เรียกกันว่าดื่มชาล้างคอครับ)

ชาเขียวมัทฉะญี่ปุ่น สูตร 100%
ชาเขียวมัทฉะ สูตรดั่งเดิม (ผสม)
ชาเขียวมัทฉะ สูตรหวาน (สมูตตี้)
ชาเขียวมัทฉะ เลมอนไอซ์ที (ชงน้ำเย็นได้)

** สามารถชงกับน้ำร้อนแล้วดื่มได้เลย หรือ นำไปปรุงแต่ง นม ครีม น้ำผึ้ง ไซรัป วิปปิ้งได้ง **
(สามารถนำไปทำเป็นเมนูเย็นได้ เมนูชาเขียวสไตล์ร้านกาแฟ Coffee Shop แบบเมนูชาเขียวในร้าน แบล็คแคนยอน เป็นต้น)

ชาเขียว 3 in 1 (น้ำสีเขียว)
ชาไทย 3 in 1 (น้ำสีส้ม)
โกโก้ 3 in 1 (น้ำสีน้ำตาลช็อคโกเล็ต)

** เป็นชาปรุงสำเร็จรูปชงได้ง่าย สามารถชงกับน้ำร้อนแล้วดื่มได้เลย หรือจะนำไปทำเป็นเมนูเย็นต่อก็ยังได้ **

ผงชาซีลอน (น้ำชาสีส้ม ทำชานมไข่มุกได้ ชงแบบชาโบราณ)
ผงชาไทย ชาโบราณ (น้ำชาสีส้ม ชงแบบชาโบราณ)
ผงชาเขียวไทย ชาโบราณ (น้ำชาสีเขียว ชงแบบชาโบราณ)

(การ ชงแบบชาโบราณ ต้องชงกับถุงกรองใบชาหรือในกาชาแยกต่างหากเพื่อกรองเอาแต่น้ำชา หลังชงต้องกรองแยกเอากากใบชาบดออกก่อน คล้ายการชงชาโบราณครับ หรืออาจจะชงใส่ก้านอัดเครื่องกาแฟได้ครับ)

ลองเลือกดูว่าชาชนิดไหนที่เหมาะกับธุรกิจร้านกาแฟของคุณ ขอให้ค้าขายเจริญรุ่งเรืองกันถ้วนหน้านะครับผม
กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่
www.chiangmaiteashop.com

Read more…

September 29, 2013

ชาอู่หลงมะลิ และ ชาเขียวมะลิ การผสมผสานชาจีนกับเอกลักษณ์แบบไทยๆอย่างลงตัว

ชาอู่หลงมะลิ และ ชาเขียวมะลิ จัดเป็นชาแต่งกลิ่นประเภทหนึ่งที่มีกลิ่นหอมมะลิ อันมาจากการอบกลิ่นผสมผสานกับดอกมะลิอบแห้ง 100% จึงได้สรรพคุณทั้งจาก ชาเขียวหรือชาอู่หลง ที่ผสานกับชาดอกมะลิ
อีกทั้งยังได้ความหอมจากชาจีน และความหอมจากมะลิจึงเป็นชาที่มีความหอมมากเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวพิเศษ และยังได้ สรรพคุณจากชา และสรรพคุณดอกมะลิไปพร้อมๆกัน และคนไทยมักจะคุ้นเคยกับชามะลิมากกว่าชาชนิดอื่นๆ

ชาเขียวมะลิ ชาอู่หลงมะลิ 
ชาเขียวมะลิ และ ชาอู่หลงมะลิ เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวต่างชาติ เนื่องเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้านกลิ่นที่หอมแบบไทยๆ เมื่อชงชาออกมาแล้ว น้ำชามีสีเหลืองทองใสอ่อนๆ หอมละมุน รสนุ่มชุ่มคอ
เรียกได้ว่า ชาที่มีความหอมคูณ 2 ที่ได้จาก ชาเขียวหรือชาอู่หลง และชาดอกมะลิ100% ครับ


ชาเขียวมะลิ และ ชาอู่หลงมะลิ มีส่วนช่วยในเรื่อง
+ ลดไขมันและคอเรสเตอรอลในร่างกาย
+ ป้องกันโรคหัวใจ และสารก่อเกิดโรคมะเร็ง
+ ต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้มีการก่อตัวของตะกอนไขมันที่ผนังหลอดเลือด
+ ช่วยชำระสารพิษในร่างกาย
+ ช่วยควบคุมความดันในเส้นเลือด
+ กลิ่นที่หอมช่วยผ่อนคลายจากภาวะความเครียดได้เป็นอย่างดี

Read more…

September 17, 2013

เรื่องน่ารู้ของ ชาสมุนไพร หญ้าหนวดแมว (Cat's whisker Herbals) เกี่ยวกับการรักษาโรคนิ่ว โรคไต

นานมาแล้วที่โรงพยาบาลแผนปัจจุบันในต่างประเทศ รู้จักนำหญ้าหนวดแมวมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคไตควบคู่กับโรคหัวใจได้ ฝรั่งจึงได้ตั้งชื่อหญ้าหนวดแมวว่า ชาสำหรับโรคไต
 
ความจริง หมอแผนไทยและจีนรู้จักใช้หญ้าหนวดแมว รักษาโรคไตมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2528 โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์วีระสิงห์ เมืองมั่น แห่งภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ค้นคว้าวิจัยนำหญ้าหนวดแมวมาใช้รักษาผู้ป่วยในโรคนิ่วในระบบทางเดิน ปัสสาวะ เช่น นิ่วในท่อไต และนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุของการปัสสาวะขัด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย

การจากทดลองพบว่าหญ้าหนวดแมว มี “เกลือโปแตสเซียม” เป็นสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ขับปัสสาวะและช่วยขยายหลอดไตให้กว้างขึ้น สามารถลดอาการปวดของท่อไต ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วขนาดเท่าเม็ดมะละกอหรือเม็ดถั่วเขียว ชาสมุนไพรตัวนี้จะช่วยขับก้อนนิ่วออกมาได้สบายมากหลังจากดื่มเพียง 3-5 วัน นิ่วก็สามารถหลุดได้แล้ว  

ชาสมุนไพรหญ้าหนวดแมว สามารถรักษาโรคนิ่วได้ทั้งนิ่วจากแคลเซียมและนิ่วจากกรดยูริก เนื่องจากสรรพคุณหญ้าหนวดแมว จะขับกรดยูริกอันเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ หญ้าหนวดแมวจึงทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ซึ่งรักษานิ่วจากกรดยูริกซึ่งเป็นนิ่วได้ดีกว่าเพราะชนิดนี้สามารถ สลายได้ดีในด่าง

สมุนไพรหญ้าหนวดแมว

ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็มีรายงานการค้นคว้าวิจัยอ้างอิงเกี่ยวกับ สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ไว้หลายเรื่องเช่นกัน อาทิ
 
1. นพ.พิชัย ตั้งสิน และ ภญ.ปริศนา แสงเจษฎา ได้ศึกษาฤทธิ์ของยาชงหญ้าหนวดแมว ในผู้ป่วยในทางเดินปัสสาวะส่วนบน เทียบกับไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต โดยแบ่งกลุ่มผู้ป่วย 9 คน พบว่ากลุ่มที่ ได้รับยาหญ้าหนวดแมวมีการเคลื่อนตัวของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ (นิ่วชนิดทึบแสงในทางเดินปัสสาวะ เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 ซม.) และใช้ยาแก้ปวดไม่ต่างจากกลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน ยาชงนี้มีผลทำให้ความดันโลหิตลดลงเล็กน้อย ชีพจรเต้นเร็วในระยะแรก(วันที่ 3) ไม่มีผลต่อปริมาณโปตัสเซียมในเลือด ไม่ทำให้คุณภาพน้ำปัสสาวะเปลี่ยนแปลง


2. รศ.นพ.วีรสิงห์ เมืองมั่น ภาควิชาศัลยกรรม คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาในผู้ป่วยนิ่วในท่อไต ขนาดเท่าเม็ดมะละกอ หรือประมาณ 0.5 ซม. จำนวน 23 คน ดื่มยาชงหญ้าหนวดแมว ขนาด 4 กรัม ในน้ำเดือด 750 ซีซี ต่อวัน เป็นเวลา 2-6 เดือน พบว่า 9 คน (40 %) มีนิ่วหลุดออกมา (ส่วนใหญ่ที่นิ่วหลุดจะหลุดภายใน 3 เดือน) 13 คน (60 %) หายปวด แต่นิ่วไม่หลุด


3. รศ.นพ.อมร เปรมกมล ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำการศึกษาผลของหญ้าหนวดแมวในการลดขนาดของนิ่วไต เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ใช้ยา Na-K-Citrate โดยผู้ป่วยนิ่วที่เข้าร่วมจำนวน 48 คนมีนิ่วในไตขนาดตั้งแต่ 9 มม.ขึ้นไป     
โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ดื่มน้ำชง
ชาสมุนไพร
หญ้า หนวดแมว 2.5 กรัม เช้า - เย็น ส่วนกลุ่มที่สอง ได้ยา Na-K-Citrate วันละ 3 ครั้ง (6-10 กรัม) ใช้เวลาในการทดลอง 18 เดือน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่ม 1 และ กลุ่ม 2 สามารถลดขนาดนิ่วได้ร้อยละ 28.6 สรุปคือ หญ้าหนวดแมวมีคุณสมบัติในการลดขนาดนิ่วได้ต่ำกว่าการใช้ยา Na-K-Citrate เล็กน้อย แต่ไม่พบผลข้างเคียงและราคาถูกกว่า
       

ข้อควรระวัง : ระวังการใช้ชาสมุนไพร หญ้าหนวดแมวในผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไต เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีโปแตสเซียมสูง
ข้อเสนอแนะ : หากดื่มชาสมุนไพรหญ้าหนวดแมว ในช่วงเย็นแล้วทำให้ ปัสสาวะบ่อยเกินไปในเวลากลางคืน สามารถเปลี่ยนเวลาดื่มชามาเป็นตอนกลางวันได้

Credit : จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย เก้า มกรา

Read more…

September 08, 2013

น้ำที่ใช้ในการชงชา น้ำแบบไหนจะชงชาออกมาได้รสชาติดีที่สุด ??

หนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชงชาคือน้ำ น้ำที่เหมาะสำหรับชงชาแน่นอนว่าใครๆก็ต้องบอกว่าน้ำแร่ธรรมชาติ แต่ทราบหรือไม่ว่าน้ำแร่ธรรมชาตินั้นยัง แบ่งเป็น 2 ชนิดอีกด้วยคือน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้าง และน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อน

น้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้าง คือน้ำแร่ที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียมในน้ำสูง
น้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อน คือน้ำแร่ที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียมในน้ำน้อยกว่า

ส่วนมากน้ำแร่ นำเข้าจากต่างประเทศจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้าง น้ำแร่ในบ้านเราส่วนมากจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อน

แล้วน้ำแร่ธรรมชาติ แบบไหนชงชาได้รสชาติดีกว่ากัน ??
คำตอบคือ ชงชาได้รสชาติดีเหมือนกัน แต่รสชาติ กลิ่น สีจะแตกต่างกัน

 
ชาที่ชงด้วยน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำกระด้างนั้น รสชาติและกลิ่นหอมจะอ่อนๆ สีน้ำชาจางๆนิดหน่อย
ส่วนน้ำแร่ธรรมชาติแบบน้ำอ่อนนั้น จะสกัดน้ำชาได้สีน้ำชาที่เข้ม รสชาติเข้มกลมกล่อมกว่า

น้ำชา การชงชา
แต่เดี๋ยวก่อน.. เรามองข้ามน้ำประปาไปได้ยังไง..!!
น้ำประปา เพียงแค่กำจัดสารคลอรีนในน้ำออก ก็สามารถนำมาชงชาได้ทั้ง รสชาติชา กลิ่นหอมชา และสีน้ำชาได้ดี ไม่แพ้น้ำแร่ราคาแพงๆได้เช่นกัน แต่ต้องผ่านขั้นตอนนิดหน่อย เพียงแค่นำน้ำประปามาต้มปิดฝาทิ้งไว้ให้เดือด แล้วเปิดฝาหม้อต้มต่อไปอีก ประมาณ 3-5 นาที เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำคุณภาพดีเหมาะสำหรับการชงชาแล้ว

ทั้งนี้การใส่ใจกับคุณภาพน้ำก็ยังสู้ไม่ได้กับการเลือกสรรใบชาที่มีคุณภาพดีซักหน่อย การใช้ชาคุณภาพสูง หรือใบชาเกรดA อาจเรียกได้ว่าเป็นทางลัดไปสู่ความอร่อยของน้ำชาได้
อีกทั้งการชงชายังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิน้ำ ปริมาณใบชาที่ใช้ ระยะเวลาที่สกัดน้ำชา และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆอีกเช่น กาชงชา แก้วชงชา ป้านชาที่ใช้ชงอีก

เดี๋ยวคราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงเรื่องอุณหภูมิของน้ำ และเวลาที่ใช้ในการชงชาแต่ละประเภทกัน รอติดตามกันตอนต่อไปนะครับผม
ขอบคุณครับ
กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่
www.chiangmaitea.com
www.chiangmaiteashop.com


Read more…

September 03, 2013

สมุนไพรมะรุม พืชสมุนไพรมหัศจรรย์ คุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารสูง

สมุนไพรมะรุม (MoringaLeaves Capsule)
พืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด รู้หรือไม่ว่า..?

ใบมะรุม มีโปรตีนสูงกว่านมสดถึง 2 เท่า
วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

สมุนไพรใบมะรุมสรรพคุณ_moringaleaves


ข้อมูลทางโภชนาการ ของมะรุมต่อ ใบมะรุม 100 กรัม

พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)


ประโยชน์ของ สมุนไพรมะรุม
1. ใช้รักษาโรคขาดอาหาร ในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
5. ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ จากผลการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6. ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น
หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11 .เป็นยาปฏิชีวนะ
12. ชะลอความแก่ ต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย
13. ฆ่าจุลินทรีย์ ที่เกิดในกระเพาะอาหาร จึงป้องกันโรคกระเพาะอาหารได้
14. การป้องกันมะเร็ง มะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
15.ฤทธิ์ลดไขมันและคลอเรสเตอรอล ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุม แล้วกินอาหารไขมันสูง จะมีปริมาณคลอเรสเตอรอล ในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากการทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
16. ฤทธิ์ป้องกันตับ มีผลช่วยในการพักฟื้นของอาการถูกทำลายของตับ


*** คำเตือน : ผู้ที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน เป็นอย่างยิ่ง ***
<<  โรคเลือด G6PD เป็นอย่างไร ลองอ่านดูครับ >>

Read more…

August 22, 2013

ดื่มชาเขียวแช่เย็น เป็นอันตรายจริงหรือ ???


คงจะเป็นเพราะว่าชาเขียวในท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อขายดิบขายดี ก็เลยมีการเขียนข้อความและส่งต่อทางอีเมล์  โดยอ้างชื่อหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่งให้ข้อมูลทำนองว่า การ ดื่มชาเขียวที่แช่เย็น จะทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ นอกจากไม่ช่วยในการอนูมูลอิสระ หรือสารพิษออกจากร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษอันเป็นสาเหตุของมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ มะเร็งลำไส้ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เข่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ”  เป็นต้น
          อีเมล์ดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ มาฟังจากปาก นพ.กฤษดา  ศิรามพุช  ผอ.สถาบันเวชสาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กันครับ
          นพ.กฤษดา กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องอธิบายเกี่ยวกับชาก่อน  ชาแบ่งเป็นประเภทง่ายๆ ตามปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ 5 กลุ่ม คือ
 
  1. ชาเขียว  เป็นชาที่ไม่ได้ผ่านการหมัก
  2. ชาดำ  จะหมักนาน โดนอากาศ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระลดลง
  3. ชาอู่หลง  เป็นชาที่หมักส่วนหนึ่ง ไม่ได้หมักส่วนหนึ่ง จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากลุ่มที่ 2 แต่น้อยกว่ากลุ่มแรก
  4. ชาขาว  มาจากส่วนยอดของใบชาที่ยังเป็นตุ่มอยู่เลย ยังไม่ผลิใบ ปีหนึ่งจะเก็บได้ 2 ครั้งคุณสมบัติก็พอๆ กับชาเขียวเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ  และ
  5. ชาสมุนไพร  เป็นชาแบบไม่ใช่ชา เช่น ชาดอกไม้ ชามะลิ ใบหม่อน เป็นต้น
 


      สารต้านอนุมูลอิสระในชา คือ สารคาเทชิน และอีกตัวคือแทนนินซึ่งมีประโยชน์คือทำให้ลำไส้ปกติ ไม่แปรปรวน โดยแทนนินจะมีรสฝาด
     ชาที่เป็นซองซอยหรือหั่นละเอียด จะดีกว่าชาที่กินเป็นใบตรงที่ว่า ชาหั่นละเอียดจะทำให้สารแทนนินหรือสารฝาดออกมาเยอะ แต่บางคนอาจจะไม่ชอบรสฝาดเท่าไหร่ คือถ้าชอบรสอ่อนหน่อยก็จะดื่มชาที่เป็นใบๆ
     วิธีการเลือกดื่มชาคือ ไม่ควรเลือกชารสฝาดเกินไป เพราะ ถ้าชารสฝาดเกินไปอาจจะเป็นกากชาที่มันหักหรือทิ้งไว้นานก็ได้ เลือกชาที่มีรสจางอ่อนจนเกินไป เพราะ เท่ากับว่าแทบจะไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เลย ส่วนสีก็พอจะบอกได้ว่า ถ้าสีเข้มน่าจะมีสารแทนนินเยอะ แต่สีจางก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดีเสมอไป
     สารต้านอนุมูลอิสระคือคาเทชินในชาจะหายไปถ้าโดนความร้อนจัดนานนับชั่วโมง โดยมีงานวิจัยระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระจะหายไปประมาณ 20%หากโดนความร้อนนานๆ แต่คนที่ดื่มชาส่วนใหญ่จะชงชาดื่ม ไม่ต้มชา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร


     เพราะฉะนั้นที่อีเมล์ระบุว่า ชาที่เย็น จะทำให้เกิดมะเร็งนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าห่วงในชาเขียวที่เป็นขวดๆ แช่เย็น คือพวกน้ำตาลมากกว่าเพราะถ้าดื่มในปริมาณมากๆ
อาจทำให้อ้วนได้ !!

     ใครที่ไม่ควรดื่มชา ? คนที่มีปัญหา ท้องอืดบ่อยๆ เพราะชาจะทำให้ท้องอืด ลำไส้บีบตัวไม่ดีนัก เด็กก็ไม่ควรดื่ม และคนที่เป็นโรคหัวใจ ก็ไม่ควรดื่ม เพราะจะทำให้ใจเต้นเร็วทำงานหนักขึ้น หญิงตั้งครรภ์ก็เช่นกันเพราะในชามีกาแฟอีน อาจจะส่งผลต่อการบีบตัวของมดลูก และไปกระตุ้นตัวอ่อนในครรภ์ได้ อาจส่งผลทำให้คลอดก่อนกำหนดรวมทั้งคนที่เป็นโรคไต เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย


     แล้วใครที่ควรจะดื่มชาบ้าง? คนที่อยากจะควบคุมน้ำหนัก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สารแทนนินในชา ถ้ารวมกับกาเฟอีน ซึ่งมันมีอยู่ในชาทั้ง 2 ชนิด จะช่วยในเรื่องการเผาผลาญในร่างกาย แต่ไม่ถึงกับช่วยลดน้ำหนัก ดังนั้น คนที่จะคุมน้ำหนักก็สามารถดื่มชาได้ร่วมกับการออกกำลังกาย และอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรดื่มชา คือ คนที่สูบบุหรี่จัด พวกนี้จะมีสารอนุมูลอิสระเยอะ ก็คงต้องการสารคาเทชินมากหน่อย  ไปช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็ง รวมไปถึงคนที่ต้องใช้สมองเยอะๆ ขี้หลง ขี้ลืม คาเทชินจะช่วยล้างตะกรันแก่ในสมองได้

     แนะเคล็ดลับง่ายๆให้สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวยังคงอยู่คือ ระหว่าง ชงชาให้ใส่มะนาวลงไปด้วย คือ แทนที่จะกินชาเขียวร้อนๆ อย่างเดียวก็กินชาผสมมะนาวไปด้วยแต่ถ้าไม่ชอบรสเปรี้ยวก็ไม่ต้องใส่มะนาวก็ ได้
     สรุป ว่า  ชาเขียว แช่เย็นไม่ได้เป็นอันตรายตามที่ข้อความในอีเมล์ระบุ แต่ข้อควรระวังก็คือปริมาณน้ำตาลในชาเขียวที่เป็นขวดมากกว่า เพราะหากดื่มมากจนเกินไป และไม่ออกกำลังกาย อาจทำให้อ้วนได้ ส่วนใครจะดื่มหรือไม่ดื่มชานั้น ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเอง เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครไปบังคับกันได้
 
รู้แบบนี้แล้ว คงต้องพิถีพิถัน ในการดื่มชากันหน่อยแล้วล่ะ ครับ....
 
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :  http://www.chiangmaiteashop.com/shop-chiangmaitea-interest-220.html

Read more…

August 16, 2013

วิธีชงชาดอกไม้ ให้หอมแบบฉบับง่ายๆใน 4 ขั้นตอน

วิธีชงชาดอกไม้
1. ควรลวกภาชนะ กาชาหรือแก้วชา ที่ใช้ชงชาด้วยน้ำร้อนทิ้งไปก่อน 1 รอบ
2. ใส่ชาดอกไม้ 5-10 g. หรือ 1/3 ของภาชนะชงชา ลวกชาด้วยน้ำร้อนแบบเร็วๆ ทิ้งไปก่อน 1 รอบ
3. เทน้ำร้อนลงไปในภาชนะชงชา หรือประมาณ 200-250 ml. (น้ำควรมีอุณหภูมิ 100 องศา)
4. สกัดชาทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที กรองชาดอกไม้ออก สามารถพร้อมดื่มได้เลย 

 
ชาดอกกุหลาบ (Rose FlowerTea)

Tips :
* ชาดอกไม้ สามารถชงซ้ำได้ 2-3 ครั้งหรือจนกว่ารสชาติจะเจือจางลง *
* การลวกชาด้วยน้ำร้อนทิ้งในน้ำแรก เพื่อเป็นการล้างฝุ่นตะกอนชาตามธรรมชาติ และยังเป็นการกระตุ้นชาให้มีกลิ่นหอมยิ่งขึ้นอีกด้วย *
* สามารถชงผสมพร้อมกับชาจีนหรือสมุนไพรต่างๆได้ เช่น ชาเขียว ชาอู่หลง ชาใบหม่อน และสามารถปรุงรสชาติโดยการเติมน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มรสชาติได้ตามความต้องการ *


ง่ายๆเพียงเท่านี้ท่านก็จะได้ ชาดอกไม้ที่แสนหอม รสชาติเยี่ยม สุดคลาสสิค 
ไว้ดื่มเพื่อผ่อนคลายในวันพักฝ่อนสบายๆของคุณครับ

กันต์โตะ ชาสมุนไพร ชาดอกไม้ เชียงใหม่
www.chiangmaiteashop.com

Read more…

August 13, 2013

ชาจีนต้าหงเผา ชาจีนที่มีประวัติยาวนาน กรรมวิธีการผลิตที่สลับซับซ้อนตามแบบฉบับชาจีนโบราณ เป็นชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงและน่าสนใจตัวหนึ่ง

ชาจีนต้าหงเผา [ 大 红 袍 ]
ชาจีนที่มีประวัติยาวนานและน่าสนใจตัวหนึ่ง เป็นชากึ่งหมักที่ให้รสชาติที่นุ่ม ชุ่มคอกำลังดี ใช้กรรมวิธีที่สลับซับซ้อน และคั่วด้วยไฟความร้อนสูง จึงได้กลิ่นคั่วชาที่หอมละมุนละไม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

ชาต้าหงเผา (Dahongpao Tea)
ในปัจจุบัน ชาจีนต้าหงเผา มีวิธีและกรรมวิธีขั้นตอนการผลิตแบบชาต้าหงเผาโบราณ โดยทำจาก ชาอู่หลงก้านอ่อน เบอร์17 จึงได้มาซึ่งชาต้าหงเผา ยุคใหม่ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว จึงได้ชาต้าหงเผา ที่รสชาติเยี่ยม หอมกรุ่นละมุน มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และทานง่ายกว่า รสชาติชาที่ถูกคอคนไทยและชาวต่างชาติอีกด้วยครับ

ชาต้าหงเผา มีส่วนช่วยในเรื่อง
+ ลดไขมันและคอเรสเตอรอลในร่างกาย
+ ป้องกันโรคหัวใจ และสารก่อเกิดโรคมะเร็ง
+ ต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้มีการก่อตัวของตะกอนไขมันที่ผนังหลอดเลือด
+ ช่วยชำระสารพิษในร่างกาย
+ ลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
+ บำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง
+ ต้านอนุมูลอิสระ ขับสารพิษจากร่างกาย
+ ปรับสมดุลร่างกาย บำรุ่งธาตุร่างกาย

Read more…

August 08, 2013

สมุนไพรมะขามป้อม คุณรู้หรือไม่ว่าวิตามินซีจากมะขามป้อมนั้นมีมากกว่าน้ำส้มคั้นประมาณ 20 เท่าเลยทีเดียว

มะขามป้อม จัดเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพและเป็นสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งเพราะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีสูงมาก โดยประโยชน์มะขามป้อมหรือสรรพคุณมะขามป้อมนั้นมีมากมาย และยังใช้ เป็นยารักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย เพราะมะขามป้อมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่ประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร เป็นต้น 

มะขามป้อม (Indian gooseberry) กันต์โตะ ชาสมุนไพร เชียงใหม่

มะขามป้อม (Indian gooseberry) เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง วิตามินซีในมะขามป้อมสามารถดูดซึมได้เร็วกว่าวิตามินซีชนิดเม็ดเป็นอย่างมาก และมีคุณค่าทางสมุนไพรด้วย และพบว่าในผลมะขามป้อมมีแร่ธาตุต่างๆสูง โดยเฉพาะธาตุเหล็ก เนื่องจากการดูดซึมธาตุเหล็กจะสูงขึ้นหากมีวิตามินซีร่วมอยู่ด้วย
 
ดังนั้นมะขามป้อม จึงน่าจะเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีสำหรับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลากชนิดในปริมาณสูง รวมทั้งมี lysine และ methionin ซึ่งมักขาดหรือมีปริมาณน้อย ในพืช ผลไม้นี้ให้ค่าพลังงานต่ำเนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลน้อย จึงเหมาะแม้กับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร
และคุณรู้หรือไม่ว่าวิตามินซีในน้ำ คั้นจากผลของมะข้ามป้อม นั้นมีมากกว่าน้ำส้มคั้นประมาณ 20 เท่า ซึ่งมะขามป้อมลูกเล็กๆ 1 ผล จะมีปริมาณวิตามินซี เท่ากับส้ม 1-2 ผลเลยทีเดียว

วิธีชง ชามะขามป้อม
ใช้มะขามป้อมสดหรือแห้ง ประมาณ 5-6 ลูก ต้มกับน้ำ 5 แก้วให้ เสร็จแล้วยกลงพอให้น้ำยาอุ่นๆ สามารถดื่มแทนน้ำทั้งวัน

ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของ สรรพคุณมะขามป้อม
1.พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของผลมะขามป้อม ช่วยยับยั้งความเป็นพิษต่อตับและไต ซึ่งพบว่าป้องกันพิษที่เนื่องมาจากตะกั่ว และอะลูมิเนียม ในเนื้อเยื่อตับและไตของหนู ได้ดีเมื่อเทียบกับวิตามินซี แต่สารสกัด จากผลมะขามป้อมมีประสิทธิภาพดีกว่า
- ฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ พบว่าให้ผลเช่นเดียวกับวิตามินซีในปริมาณเท่ากัน ในการลดความถี่ของการเกิดโครโมโซมผิดปกติและการแตกหักของโครโมโซม
- ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส สามารถยับยั้งเอนไซม์ HIV-1 REVERSE TRANSCRIPTASE ได้ดี
- ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยมีฤทธิ์ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่มีบทบาทสำคัญในการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และเพิ่มการหลั่งเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร
2.สารสกัดของมะขามป้อม สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งต่อตับได้ดีเมื่อทดสอบในสัตว์ทดลอง โดยประสิทธิภาพในการต้านการเกิดมะเร็งของสารสกัดนี้แปรผันตรงกับความเข้มข้น
3.น้ำคั้นผลสดเมื่อป้อนให้กระต่ายที่มีภาวะหลอดเลือดตีบแข็ง สามารถลดระดับคอเลสเตอรอล triglyceride phospholipids และ LDL ในซีรั่มลงถึง 82% 66% 77% และ 90% ตามลำดับ รวมทั้งยังขับถ่ายคอเลสเตอรอลและไขมันได้มากขึ้น
4.สารสกัดจากผลใบ และลำต้นของมะขามป้อมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและสารสกัดจากเปลือกลำต้นมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา

Cr: http://en.wikipedia.org/wiki/Phyllanthus_emblica
Cr: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakV3TURVMU5nPT0=

Read more…

July 20, 2013

ชาดอกเก๊กฮวยป่า (Chrysanthemum FlowerTea) สรรพคุณและประโยชน์ของเก๊กฮวย ดับกระหาย แก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น

ชาดอกเก๊กฮวยป่า (Chrysanthemum FlowerTea)
ชาดอกไม้สายพันธ์สายพันธุสำหรับทำเป็นชาโดยเฉพาะ มีกลิ่นหอมมากกว่าเก๊กฮวยสวนทั่วๆ ไป

ดอกเก๊กฮวยป่า สามารถชงดื่ม แบบชาได้เลย เพียงเทน้ำร้อนใส่ สะดวก ต่อการดื่ม [เก๊กฮวยสวนเหมาะสำหรับทำน้ำเก๊กฮวยมากกว่าและจะต้องใช้วิธีต้มเอา] ชาเก๊กฮวยป่า จะมีกลิ่นที่หอมมาก ไม่มีรสขม รสชาตินุ่ม ชุ่มคอ ให้ความรู้สึกสดชื่น กลิ่นที่หอมทำให้สามารถลดความเครียดได้อีกด้วย ทางการแพทย์แผนจีนยังถือว่า เก๊กฮวย เป็นได้ทั้งยารักษาอาการร้อนในและยาบำรุงร่างกายได้อีกด้วย 
ชาดอกเก๊กฮวยป่า

ชาดอกเก๊กฮวย มีส่วนช่วยในเรื่อง
ดับกระหาย แก้ร้อนใน ทำให้สดชื่น
ช่วยบำรุงเรื่องสายตา แก้ตาฟาง ตาแฉะ
ดอกเก๊กฮวยป่า ปรับความสมดุลย์ ของร่างกาย
ปรับสมดุลย์ของเลือดในเส้นเลือด ช่วยบำรุงหัวใจ
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ดอกเก๊กฮวย กระตุ้นการทำงานของหัวใจ
ควบคุมน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือดได้
ดอกเก๊กฮวย กลิ่นที่หอม ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่
ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องระบบทางเดินอาหาร

ดอกเก๊กฮวย ทำเครื่องดื่ม ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
Chrysanthemum FlowerTea
ดอกเก๊กฮวย (Chrysanthemum FlowerTea)
 

Read more…

Popular Posts